วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

โครงงาน ภาษาไทยวิบัติ

      
        ภาษาวิบัติ เป็นคำเรียกของการใช้ภาษาไทยที่เปลี่ยนแปลงไป และไม่ตรงกับกับหลักภาษาในด้านการสะกดคำคำว่า 'ภาษาวิบัติ' ใช้เรียกรวมถึงการเขียนที่สะกดผิดบ่อย รวมถึงการใช้คำศัพท์ใหม่หรือคำศัพท์ที่สะกดแปลกไปจากเดิม คำว่า "วิบัติ" มาจากภาษาบาลี หมายถึง พินาศฉิบหาย หรือความเคลื่อนทำให้เสียหาย
        ในประเทศไทย มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงปัญหาเด็กไทยขาดการศึกษารวมถึงปัญหาภาษาวิบัติทำให้ เด็กไทยไม่สามารถใช้ภาษาไทยได้มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ในขณะเดียวกันได้มีการใช้คำว่าภาษาอุบัติแทนที่ภาษาวิบัติที่มีความหมายในเชิงลบโดยภาษาอุบัติหมายถึงภาษาที่เกิดขึ้นมาใหม่ตอบสนองวัฒนธรรมย่อย เช่นเดียวกับภาษาเฉพาะวงการที่เป็นศัพท์สแลง
      ทั้งนี้การเปิดใช้พจนานุกรมเพื่อค้นหาคำที่ควรใช้ให้ถูกต้องอาจเป็นทางเลือกที่ดี[ต้องการอ้างอิง] ทางบัณฑิตยสถานได้กำหนดคำที่ใช้อย่างเป็นทางการหรืออยู่ในรูปแบบมาตรฐาน หากใช้ผิดอาจกลายเป็นคำวิบัติได้[ต้องการอ้างอิง] ซึ่งคำวิบัติไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงของภาษาแต่อย่างใด[ต้องการอ้างอิง] เป็นเพียงการใช้ภาษาให้แตกต่างจากปกติในช่วงระยะเวลาหนึ่ง หรืออาจใช้จากรุ่นสู่รุ่นไปจนกว่าคำวิบัตินั้นจะหายไปจากสังคมนั้น ๆ
        นิธิ เอียวศรีวงศ์ ว่า ภาษาวิบัติเป็นการเปลี่ยนแปลงของภาษาที่ผู้ใหญ่ในสังคมไม่ชอบ แม้ภาษาจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอแต่ผู้ใหญ่ไม่ชอบให้ภาษาเปลี่ยนการให้เหตุผลว่าภาษาไทยไม่ควรเปลี่ยนแปลง เพราะเป็นภาษาของชาติที่มีความศักดิ์สิทธิ์ นิธิเห็นว่าเป็นเหตุผลแบบไสยศาสตร์ ไม่ค่อยน่าฟัง นิธิยังเห็นว่า ปัญหาของภาษาไทยในปัจจุบันคือ การใช้ภาษาไม่มีประสิทธิภาพ เช่น ไวยากรณ์ การใช้ศัพท์หรือการเรียบเรียง เป็นต้น และการไม่ศึกษาภาษาที่เปลี่ยนแปลงไปนี้เองที่จะเป็นเหตุให้เกิด "ภาษาวิบัติ"

        เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2553 ช่วงที่มีผู้สร้างภาพยนตร์ไปตั้งเป็นชื่อ หอแต๋วแตกแหวกชิมิ กาญจนา นาคสกุล ราชบัณฑิตประเภทวรรณศิลป์ สาขาวิชาภาษาไทย ระบุ คำว่า "ชิมิ" หากเป็นการใช้ภายในกลุ่มก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะเป็นการล้อกันเล่นซึ่งเป็นปกติของภาษา และจะเลือนหายไปตามกาลเวลา แต่การนำไม่ใช้เชิงสาธารณะดังที่ไปตั้งเป็นชื่อภาพยนตร์ ถือว่าไม่เหมาะสมนัก เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2554 กนกวลี ชูชัยยะ เลขาธิการราชบัณฑิตยสถาน กล่าวว่า สถานการณ์ภาษาไทยในปัจจุบันยังไม่ถึงขั้นวิกฤต และวัยรุ่นใช้ภาษาแช็ตเฉพาะบนอินเทอร์เน็ต และสื่อสารภายในวัยรุ่นเท่านั้น ยังไม่พบนำมาใช้ในการเขียนหรือการทำงานแต่อย่างใด



ที่มา : http://www.thaihealth.or.th 

โครงงาน ภาษาไทยวิบัติ

วรรณยุกต์ไทย

วรรณยุกต์ หมายถึง เครื่องหมายที่แสดงเสียงสูง ต่ำ ของคำในภาษาไทย มี ๔ รูป คือ

เอก
โท
ตรี
จัตวา

        ในภาษาไทยคำทุกคำเมื่อใส่วรรณยุกต์เข้าไปแล้ว จะทำให้อ่านออกเสียงต่างกัน และความหมายของคำก็จะเปลี่ยนไปด้วย เช่น

คำ

(เอก)

(โท)

(ตรี)

(จัตวา)
ตี
ตี่
ตี้
ตี๊
ตี๋
ปา
ป่า
ป้า
ป๊า
ป๋า
เกา
เก่า
เก้า
เก๊า
เก๋า
อาน
อ่าน
อ้าน
อ๊าน
อ๋าน

อักษรกลาง อักษรสูง และอักษรต่ำ
        อักษรไทยแบ่งตามการออกเสียงเป็น ๓ หมู่ หรือเป็นระบบไตรยางศ์ได้ดังนี้
อักษรกลาง มี ๙ ตัว ได้แก่
        ก จ ฎ ฏ ด ต บ ป อ
อักษรสูง มี ๑๑ ตัว ได้แก่
        ข ฃ ฉ ฐ ถ ผ ฝ ศ ษ ส ห
อักษรต่ำ มี ๒๔ ตัว ได้แก่
        ค ฅ ฆ ง ช ซ ฌ ญ ฑ ฒ ณ ท ธ น พ ฟ ภ ม ย ร ล ว ฬ ฮ
       อักษรต่ำคู่ คืออักษรต่ำที่มีเสียงคู่กับอักษรสูง มี ๑๔ ตัว ๗ เสียง ได้แก่
        ค, , ฆ (ข,ฃ) ช, ฌ (ฉ) ซ (ศ, , ส) ฑ, , , ธ (ฐ, ถ) พ, ภ (ผ) ฟ (ฝ) และ ฮ (ห)
       อักษรต่ำเดี่ยว คืออักษรต่ำที่ไม่มีเสียงคู่กับอักษรสูง มีทั้งสิ้น ๑๐ ตัว ได้แก่
        ง, , , , , , , , ว และ ฬ


การผันอักษรกลาง อักษรสูง และอักษรต่ำ
อักษรกลาง
       อักษรกลาง พื้นเสียงเป็นเสียงสามัญ ผันได้ครบทั้ง ๕ เสียง คือ ผันด้วยวรรณยุกต์เอกเป็นเสียงเอก ผันด้วยวรรณยุกต์โทเป็นเสียงโท ผันด้วยวรรณยุกต์ตรีเป็นเสียงตรี ผันด้วยวรรณยุกต์จัตวาเป็นเสียงจัตวา เช่น
คำ

(สามัญ)

(เอก)

(โท)

(ตรี)

(จัตวา)
ปู
ปู
ปู่
ปู้
ปู๊
ปู๋
จา
จา
จ่า
จ้า
จ๊า
จ๋า
อา
อา
อ่า
อ้า
อ๊า
อ๋า
ไก
ไก
ไก่
ไก้
ไก๊
ไก๋

แต่ถ้าเป็นคำตาย จะผันได้แค่ ๔ เสียง คือ เสียงเอก เสียงโท เสียงตรี และเสียงจัตวา เช่น

คำ

(สามัญ)

(เอก)

(โท)

(ตรี)

(จัตวา)
กัด
-
กัด
กั้ด
กั๊ด
กั๋ด
จาก
-
จาก
จ้าก
จ๊าก
จ๋าก
อาบ
-
อาบ
อ้าบ
อ๊าบ
อ๋าบ
บีบ
-
บีบ
บี้บ
บี๊บ
บี๋บ


 อักษรสูง
       อักษรสูง พื้นเสียงเป็นเสียงจัตวา ผันด้วยวรรณยุกต์เอกเป็นเสียงเอก ผันด้วยวรรณยุกต์โทเป็นเสียงโท เช่น


คำ

(สามัญ)

(เอก)

(โท)

(ตรี)

(จัตวา)
ไข
-
ไข่
ไข้
-
ไข
ขา
-
ข่า
ข้า
-
ขา
ผึง
-
ผึ่ง
ผึ้ง
-
ผึง
ฝาย
-
ฝ่าย
ฝ้าย
-
ฝาย

แต่ถ้าเป็นคำตาย จะผันได้แค่ ๒ เสียง คือ เสียงเอก และเสียงโท เช่น



คำ

(สามัญ)

(เอก)

(โท)

(ตรี)

(จัตวา)
ขัด
-
ขัด
ขั้ด
-
-
ผิด
-
ผิด
ผิ้ด
-
-
สาบ
-
สาบ
ส้าบ
-
-
ฝาก
-
ฝาก
ฝ้าก
-
-

อักษรต่ำ
       อักษรต่ำ พื้นเสียงเป็นเสียงสามัญ ผันด้วยวรรณยุกต์เอกเป็นเสียงโท ผันด้วยวรรณยุกต์โทเป็นเสียงตรี เช่น


คำ

(สามัญ)

(เอก)

(โท)

(ตรี)

(จัตวา)
ทา
ทา
-
ท่า
ท้า
-
ลม
ลม
-
ล่ม
ล้ม
-
รอง
รอง
-
ร่อง
ร้อง
-
งาว
งาว
-
ง่าว
ง้าว
-




ที่มา :  http://th.wikibooks.org 

โครงงาน ภาษาไทยวิบัติ

การอ่านเครื่องหมายต่างๆ  ในภาษาไทย

๑.  การอ่านคำหรือข้อความที่มีเครื่องหมายวงเล็บกำกับอยู่
        เมื่อมีเครื่องหมายวงเล็บเปิด  ให้อ่านว่า  วงเล็บเปิด  และเมื่อถึงเครื่องหมายวงเล็บปิดให้อ่านว่า  วงเล็บปิด  เช่น
        ปวาฬ (แก้วประพาฬ  คือหนแก้วชนิดหนึ่งเกิดจากหินปะการัง)
        อ่านว่า  ปะวาน  วง-เล็บ-เปิด  แก้ว-ปรฺะ-พาน........หิน-ปะ-กา-รัง  วง-เล็บ-ปิด

๒.  การอ่านเครื่องหมายไม้ยมก  หรือ  ยมก
        เครื่องหมายไม้ยมก  หรือ ยมก  ที่เขียนหลังคำ วลีหรือประโยค  ให้อ่านซ้ำคำ  วลี  หรือประโยคอีกครั้งหนึ่งเช่น
        เด็กเล็กๆ      อ่านว่า   เด็ก-เล็ก-เล็ก
        แต่ละวันๆ     อ่านว่า   แต่-ละ-วัน-แต่-ละ-วัน
        ในวันหนึ่งๆ   อ่านว่า   ใน-วัน-หฺนึ่ง-วัน-หฺนึ่ง
คำที่เป็นคำซ้ำ  ต้องใช้ไม้ยมกหรือยมกเสมอให้อ่านซ้ำคำอีกครั้งหนึ่ง เช่น
        สีดำๆ           อ่านว่า   สี-ดำ-ดำ
        เด็กตัวเล็กๆ   อ่านว่า   เด็ก-ตัว-เล็ก-เล็ก

๓.  การอ่านเครื่องหมายไปยาลน้อย  หรือเปยยาลน้อย
        เครื่องหมายไปยาลน้อย หรือ เปยยาลน้อย  ใช้ละคำที่รู้กันดีอยู่แล้ว  โดยละส่วนท้ายไว้เหลือแต่ส่วนหน้าของคำพอเป็นที่เข้าใจ  เวลาอ่านต้องอ่านคำเต็ม  เช่น
        กรุงเทพฯ     อ่านว่า   กฺรุง-เทบ-มะ-หา-นะ-คอน
        ทูลเกล้าฯ     อ่านว่า   ทูน-เกฺล้า-ทูน-กฺระ-หฺม่อม
        โปรดเกล้าฯ  อ่านว่า   โปฺรด-เกฺล้า-โปฺรด-กฺระ-หฺม่อม
        ล้นเกล้าฯ     อ่านว่า   ล้น-เกฺล้า-ล้น-กฺระ-หฺม่อม

๔.  การอ่านเครื่องหมายไปยาลใหญ่
        ๔.๑  เครื่องหมายไปยาลใหญ่  หรือ เปยยาลใหญ่  ที่อยู่ข้างท้ายข้อความ ให้อ่านว่า ละ หรือ และอื่นๆ  เช่น
        สิ่งของที่ซื้อขายกันในตลาดมี  เนื้อสัตว์  ผัก  ผลไม้  น้ำตาล  น้ำปลา  ฯลฯ
                อ่านว่า  สิ่ง-ของ-ที่-ซื้อ-ขาย-กัน-...น้ำ-ปฺลา-ละ
                หรือ      สิ่ง-ของ-ที่-ซื้อ-ขาย-กัน-...น้ำ-ปฺลา และ-อื่น-อื่น
        ๔.๒  เครื่องหมายไปยาลใหญ่  หรือ  เปยยาลใหญ่  ที่อยู่ตรงกลางข้อความ  อ่านว่า  ละถึง  เช่น
                พยัญชนะไทย  ๔๔  ตัว มี ก ฯลฯ ฮ
                อ่านว่า   พะ-ยัน-ชะ-นะ-ไท-สี่-สิบ-สี่-ตัว  มี กอ ละ-ถึง ฮอ

๕.  การอ่านเครื่องหมายจุดไข่ปลา  หรือ  ไข่ปลา
        เมื่อมีเครื่องหมายไข่ปลา  หรือ  จุดไข่ปลา  ควรหยุดเล็กน้อยก่อน  แล้วจึงอ่านว่า  ละ ละ ละ  แล้วควรหยุดเล็กน้อยก่อนอ่านข้อความต่อไป  เช่น
        ที่เกิดมีภาษาไทย...ก็เพราะแต่ละภาษาสืบต่อภาษาของตนไว้
             อ่านว่า  ที่-เกิด-มี-พา-สา-ไท  ละ  ละ  ละ  ก็-เพฺราะ-แต่-ละ-พา-สา-สืบ-ต่อ-พา-สา-ของ-ตน-ไว้

๖.  การอ่านเครื่องหมายอัญประกาศ
        เมื่อมีเครื่องหมายอัญประกาศ  ให้อ่านว่า  อัญประกาศเปิด  และเมื่อมีเครื่องหมายอัญประกาศปิด  ให้อ่านว่า  อัญประกาศปิด
        ถ้าข้อความในเครื่องหมายอัญประกาศมีความยาวหลายย่อหน้า  และใส่เครื่องหมายอัญประกาศเปิดทุกย่อหน้า  ให้อ่านว่า  อัญประกาศเปิด  เฉพาะเมื่อเริ่มต้นข้อความเท่านั้น  และอ่าน  อัญประกาศปิด  เมื่อจบข้อความเช่น
        ครั้งหนึ่งพระพุทธองค์ตรัสว่า
        “...ดูกรภิกษุทั้งหลาย   สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นปลายมิได้  เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้น  มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบ  ท่องเที่ยวไปมาอยู่  ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ  ฯลฯ
        “ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ท่อนไม้ที่บุคคลโยนขึ้นไปบนอากาศบางคราวก็ตกลงทางโคน  บางคราวก็ตกลงทางขวาง  บางคราวก็ตกลงทางปลาย  แม้ฉันใด  สัตว์ทั้งหลายผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้น  มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ท่องเที่ยวไปมาอยู่  ก็ฉันนั้นแล  บางคราวก็จากโลกนี้ไปสู่ปรโลก  บางคราวก็จากปรโลกมาสู่โลกนี้  ข้อนั้นเพราะเหตุไร  เพราะว่า  สงสารกำหนดที่สุดเบื้องต้นปลายมิได้”
       อ่านว่า   คฺรั้ง-หฺนึ่ง-พฺระ-พุด ทะ อง-ตฺรัส-ว่า-  อัน-ยะ- ปฺระ-กาด-เปิด  ดู-กอน-พิก-สุ...เบื้อง-ปฺลาย-ไม่-ได้  อัน-ยะ-ปฺระ-กาด-ปิด




ที่มา : ราชบัณฑิตยสถาน.  อ่านอย่างไรและเขียนอย่างไร.  พิมพ์ครั้งที่  ๒๑.  กรุงเทพฯ:  

โครงงาน ภาษาไทยวิบัติ

คำไทย 7 ชนิด

คำในภาษาไทย
คำในภาษาไทย
มี ๗ ชนิด ดังนี้

คำนาม
       คำนาม คือ คำที่ใช้เรียกชื่อ บุคคล สัตว์ สิ่งของ สถานที่คำนาม แบ่งออกเป็น ๕ ชนิด ดังนี้
        ๑.๑  นามทั่วไป หรือสามานยนาม เป็นคำนามที่ไม่ชี้เฉพาะบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น คน นักเรียน บุรุษไปรษณีย์ กีฬา
        ๑.๒  นามชื่อเฉพาะ หรือวิสามานยนาม เป็นชื่อเฉพาะของบุคคล หรือสถานที่ เช่น สมศักดิ์ สุดา มีนบุรี ฉะเชิงเทรา
        ๑.๓  นามบอกลักษณะ หรือลักษณนาม เป็นคำนามบอกลักษณะ เช่น ผล ตัว อัน แท่ง ใบ
        ๑.๔  นามบอกหมวดหมู่ หรือสมุหนาม เป็นคำนามบอกหมวดหมู่ เช่น โขลง ฝูง หมู่ เหล่า
        ๑.๕  นามบอกอาการ หรืออารการนาม เป็นคำที่เกิดจากคำกริยาหรือคำวิเศษณ์ที่มีคำว่า การ หรือ ความ นำหน้า เช่น การวิ่ง ความดี ความจริง

คำสรพนาม
       คำสรรพนาม คือ คำที่ใช้เเทนคำนาม เพื่อไม่ต้องกล่าวคำนามนั้นซ้ำๆ คำสรรพนาม แบ่งออกเป็น ๗ ชนิด ดังนี้
        ๒.๑
  บุรุษสรรพนาม เป็นสรรพนามที่ใช้เเทนนาม มี ๓ ชนิด ดังนี้
                        สรรพนามบุรุษที่ ๑ ใช้เรียกแทนผู้พูด เช่น ข้าพเจ้า ฉัน ดิฉัน ผม
                สรรพนามบุรุษที่ ๒ ใช้เรียกแทนผู้ฟัง เช่น เธอ ท่าน คุณ
                  สรรพนามบุรุษที่ ๓ ใช้เรียกเเทนผู้ถูกกล่าวถึง เช่น มัน เขา ท่าน
        ๒.๒ สรรพนามชี้ระยะ เป็ฯสรรพนามที่กำหนดให้เรารู้ว่า คน สัตว์ สิ่งของ หรือ สถานที่ที่กล่าวถึงนั้นอยู่ในระยะใกล้ไกลเพียงใด เช่น
 
                นี่ ใช้กับ สิ่งที่อยู่ใกล้ที่สุด
                นั่น ใช้กับ สิ่งที่อยู่ไกลหรือห่าวออกไป
        ๒.๓
  สรรพนามใช้ถาม ใช้เเทนคำนามที่ผู้ถามต้งอการคำตอบ ได้แก่ อันไหน สิ่งใด ใคร อะไร เช่น 
                เธอชอบอันไหน
                คุณเลือกสิ่งใดในตู้นี้
        ๒.๔
  สรรพนามบอกความไม่เจาะจง ใช้เเทนคำนามที่กล่าวถึง โดยไม่ต้องการคำตอบ ได้แก่ ใคร อะไร สิ่งใด หรืออาจจะใช้คำซ้ำ เช่น
                ฉันไม่เห็นใครขยันอย่างเขา
                  รู้สิ่งใดหรือจะสู้รู้วิชา
        ๒.๕
  สรรพนามบอกความชี้ซ้ำ ใช้เเทนคำนามที่กล่าวมาก่อนเเล้ว และต้องการกล่าวซ้ำอีกโดยไม่ต้องเอ่ยคำนามนั้นอีกครั้ง ได้แก่ บ้าง ต่าง กัน เช่น 
                        ประชาชนต่างไปลงคะเเนนเสียงเลือกผู้เเทนราษฎร (ความหมายแยกแต่ทำในสิ่งเดียวกัน)
        ๒.๖
  สรรพนามเชื่อมประโยค ใช้เเทนคำนามที่อยู่ข้างหน้า และเมื่อต้องการกล่าวซ้ำ ทำหน้าที่เชื่อประโยค ๒ ประโยค เข้าด้วยกัน ได้แก่ ที่ ซึ่ง อัน ผู้ เช่น
                        คนที่เดินมาเป็นน้องชั้น
                        เมื่อเเยกประโยคจะได้ ดังนี้ คนเดินมา และ น้องฉัน ส่วนคำว่า ที่ เเทนคำว่า คน
        ๒.๗
  สรรพนามใช้เน้นนามตามความรู้สึกของผู้พูด ใช้หลังคำนามเพื่อบอกความรู้สึกที่มีต่อบุคคลที่กล่าวถึง เช่น
                        เด็กๆ แกหัวเราะเสียงดัง (บอกความรู้สึกเอ็นดู)
                คุณแอมเธอดีกับทุกคน (บอกความรู้สึกยกย่อง)



คำกริยา
       คำกริยา คือ คำที่แสดงอาการ หรือสภาพ หรือการกระทำในประโยค บางคำมีความหมายสมบูรณ์ แต่บางคำต้องอาศัยคำอื่นมาประกอบ หรือใช้คำประกอบคำอื่นเพื่อให้ความหมายชัดขึ้น
คำกริยา แบ่งออกเป็น ๕ ชนิด ดังนี้
        ๓.๑
  กริยาที่มีความหมายสมบูรณ์ เรียกว่า อกรรมกริยาเช่น เดิน วิ่ง ร้องไห้
        ๓.๒
  กริยาที่ต้องอาสัยกรรมมาทำให้สมบูรณ์ เรียกว่า สกรรมกริยาเช่น ทำ ซื้อ กิน
        ๓.๓
  กริยาที่ช่วยให้กริยาอื่น มีความหมายชัดเจนขึ้น เรียกว่า กริยานุเคราะห์เช่น คง จะ น่า แล้ว อาจ นะ ต้อง
        ๓.๔
  กริยาที่ต้องอาศัยส่วนเติมเต็มเพื่อให้มีความหมายสมบูรณ์ ส่วนเติมเต็มนี้ไม่ใช้กรรม คำกริยาดังกล่าว ได้แก่ เป็น เหมือน คล้าย เท่า คือ
        ๓.๕
  กริยาที่ทำหน้าที่คล้ายนาม อาจเป็นประธาน กรรม หรือบทขยายประโยค คำกริยาชนิดนี้มักจะมีคำว่า การเช่น พูด อย่างเดียวไม่ทำให้งานสำเร็จหรอก

คำวิเศษณ์
       คำวิเศษณ์ คือ คำที่ช่วยขยายคำอื่น ให้มีเนื้อความชัดเจนยิ่งขึ้น
หน้าที่ของคำวิเศษณ์ มีดังนี้
        ๔.๑
  ประกอบคำนาม เช่น คนงาม ชายหนุ่ม มะพร้าวอ่อน ผ้าบาง
        ๔.๒
  ประกอบคำสรรพนาม เช่น เขาสูง เธอสวย มันดุ
        ๔.๓
  ประกอบคำกริยา เช่น วิ่งเร็ว อยู่ไกล นอนมาก
        ๔.๔
  ประกอบคำวิเศษณ์ เช่น อากาศร้อนมาก เธอดื่มน้ำเย็นจัด

คำบุพบท
       คำบุพบท คือ คำที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงคำหนึ่ง หรือกลุ่มคำหนึ่งให้สัมพันธ์กับคำอื่นหรือกลุ่มคำอื่น เพื่อบอกสถานที่ เวลา แสดงอาการ หรือเเสดงความเป็นเจ้าของ เช่น คำว่า กับ แก่ แต่ ต่อ จาก เพื่อ โดย จน บน ใต้ กลาง ของ สำหรับ ระหว่าง เฉพาะ เช่น
      เเม่ทำเพื่อลูก              “เพื่อ”    เป็นบุพบทเเสดงอาการ
      เขามาเมื่อเช้านี้           เมื่อ”    เป็นบุพบทนอกเวลา
      ลูกชายนั่งอยู่ข้างพ่อ    ข้าง”   เป็นบุพบทบอกสถานที่
      ฉันเดินกับเขา             “กับ”    เป็นบุพบทบอกความเกี่ยวเนื่องกัน

คำสันธาน
       คำสันธาน คือ คำที่ใช้เชื่อมประโยคกับประโยค ข้อความที่มีคำสันธานเชื่อมอยู่นั้นมักจะเเยกออกได้เป็นประโยคมากกว่าหนึ่งประโยค เช่น
        เเม่เต่าเดินเร็วแต่ลูกเต่าเดินช้า
        ติ๊กและต๊อกเป็นเด็กมีน้ำใจ
        ครูให้อภัยเขาเพราะเขาสำนึกผิด
        บ้านเเละโรงเรียนควรร่วมมือกันแก้ปัญหาเรื่องเด็ก

คำอุทาน

        คำอุทาน คือ คำที่เปล่งออกมาเพื่อเเสดงอารมณ์ หรือความรู้สึกของผู้พูด ส่วนมากจะไม่มีความหมายตรงตามถ้อยคำ แต่จะมีความหมายทางการเน้นความรู้สึกและอารมณ์ของผู้พูดเป็นสำคัญ
คำอุทาน แบ่งออกเป็น ๓ ชนิด คือ
        ๗.๑  คำอุทานบอกอาการ ใช้บอกอาการในการพูดจากัน เช่น
       โธ่! ไม่น่าเลย                                     โอ๊ย! น่ากลัวจริง
       เอ๊ะ! ทำอย่างนี้ได้อย่างไร                    ตายแล้ว! ทำไมเป็นอย่างนี้
คำอุทานบอกอาการจะมีเครื่องหมายอัศเจรีย์ ( ! ) กำกับอยู่ คำอุทานบอกอาการนี้ จะพูดออกมาเพื่อเเสดงอารมณ์ของผู้พูด เช่น ดีใจ เสียใจ ตกใจ แปลกใจ ฯลฯ
        ๗.๒
  คำอุทานในบทร้อยกรอง คำอุทานเหล่านี้จะปรากฎอยู่ในบทร้อยกรอง เช่น อ้า โอ้ เอย เอ๋ย เฮย แล แฮ นา นอ ฯลฯ  ใช้เเทรกลงในถ้อยคำเพื่อความสละสลวย เช่น
                            โอ้ดวงเดือนก่ำฟ้า                   ชวนฝัน ยิ่งเอย
                   ในพฤกษ์จับเเสงจันทร์                      ป่ากว้าง
                   หมู่เเมลงเพรียกหากัน                      ดุจเพื่อน รักนา
                   ป่าปลอบผู้อ้างว้าง                          ปลดเศร้าอุราหมอง
                                                                                  จตุภูมิ วงษ์แก้ว
        ๗.๓ อุทานเสริมบท ใช้กล่าวเป็นการเสริมคำในการพูดเพื่อเน้นความหมายให้ชัดเจนขึ้น ทำให้สนุกในการออกเสียงให้น่าฟังขึ้น เช่น
          เธอไม่สบายต้องกินหยูกกินยานะ
         ช่วยหยิบถ้วยโถโอชามให้ด้วย
        เข้ามาดื่มน้ำดื่มท่าเสียก่อน
        ทำไมบ้านช่องถึงสกปรกอย่างนี้





ที่มา : http://www.thaigoodview.com